การอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน
ดินสอพอง ถือเป็นสมุนไพรที่อยู่คู่เมืองไทยมาช้านาน ซึ่งจัดอยู่ในสมุนไพรจำพวกแร่ธาตุ หรือเรียกว่าเครื่องยาธาตุวัตถุ แต่ถ้าสืบค้นไปก็จะพบว่าดินสอพองเป็นยาสมุนไพรตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จาก “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” ที่กล่าวถึงดินสอพองไว้ว่า “ ให้เอาชานอ้อย กำยาน แก่นคูน กรักขีถาก รมหม้อใหม่ใส่น้ำไว้ จึงเอาดินสอพองเผาให้สุก ใส่ลงในหม้อน้ำนั้นให้คนไข้กินเนืองๆ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ หยุดแล” ซึ่งถือว่าดินสอพองเป็นยาสมุนไพรที่เก่าแก่ และรักษาโรคให้กับผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันแหล่งผลิตวัตถุดิบของดินสอพองแหล่งใหญ่อยู่ที่ตำบลท่าแค และตำบลท่าตะโก จังหวัดลพบุรี ที่ใต้พื้นดินมีแร่ธาตุที่เรียกว่า “ดินสอพอง” อยู่เป็นจำนวนมาก โดยชาวบ้านจะไปรับซื้อดินสอพองมาจากละแวกนั้น แล้วนำมาผลิตที่หมู่บ้านหินสองก้อน (ริมคลองชลประทาน) ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง (บริเวณสะพาน 6) หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ “หมู่บ้านดินสอพอง” ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน เนื่องจากพื้นที่บริเวณไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เนื่องจากมีดินสีขาวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้นำมาแปรรูปเป็นดินสอพองในที่สุด
ซึ่งที่ผ่านมาดินสอพองไม่ได้เป็นเพียงยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว แต่ดินสอพองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทย เช่น อุตสาหกรรมยาสีฟัน, อุตสาหกรรมการผลิตธูป, ตกแต่งเครื่องเรือน, ไข่เค็มดินสอพอง, ทำสีฝุ่น และอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาสิว และโรยแผล ก็ใช้ดินสอพองเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในการรักษาสิว แต่เมื่อเทศกาลสงกรานต์ ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยได้เวียนมาถึงอีกครา “ดินสอพอง” จำต้องปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นอุปกรณ์ที่สร้างความสนุกสนานให้กับคนไทย รองจากการสาดน้ำสร้างความรื่นเริง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอีกเพียง 5 ปี ดินสอพอง จะเริ่มหมดไปจากประเทศไทย ด้วยแหล่งวัตถุดิบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ รวมทั้งคนไทยไม่เห็นคุณค่า หาทางรักษาไว้ในรุ่นหลาน โดย นายประยูร เลิศปาน เล่าว่า แต่เดิมคนในหมู่บ้านดินสอพอง ยึดอาชีพการผลิตดินสอพองขายกันเป็นเวลานาน ซึ่งรายได้ก็ถือว่าไม่ได้มากมายนัก เพียงสำหรับการเลี้ยงชีพได้เท่านั้น
“ธุรกิจการผลิตดินสอพองในหมู่บ้าน ถือว่าขณะนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ครึกครื้นขึ้นบ้าง เพราะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า มาซื้อดินสอพองแบบเม็ดเพื่อไปจำหน่ายต่อ จากที่ในช่วงอื่น จะผลิตดินสอพองแบบเป็นก้อนเท่านั้น เพื่อขายส่งให้กับภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ถือว่าราคาก็ไม่ได้หวือหวานัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านขณะนี้จะขายตัดราคากันเอง ส่งผลให้มีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ส่งผลให้มีหนี้สิน เมื่อมีลูกค้ามาขอซื้อในราคาถูกจนขาดทุน ก็ต้องจำยอมขาย เพื่อให้มีเงินมาใช้หนี้ ถือว่าขณะนี้ธุรกิจของหมู่บ้านดินสอพองขาดระบบการจัดการที่ดี เน้นการหาตลาดกันเอง โดยขายผ่านพ่อค้าคนกลางเป็นหลัก”
สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการดินสอพองมายาวนาน อย่าง นายประยูร ทำให้รู้ถึงปัญหาของธุรกิจนี้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้นที่เริ่มมองหาอาชีพอื่นที่คาดว่าจะสามารถนำรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ แต่อีกกว่า 100 ครอบครัว ก็เริ่มรู้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจดินสอพองกันเช่นเดียวกัน ที่อาจไม่ใช่อาชีพที่ยั่งยืนอีกต่อไป
สำหรับราคาขายของดินสอพองในขณะนี้ถือว่ามีราคาต่ำมาก จนน่าแปลกใจว่าราคาขายในระดับนี้จะให้ชาวบ้านดำรงชีพ จากรายได้การจำหน่ายดินสอพองได้อย่างไร คือ ดินสอพองแบบเม็ดราคาขายที่แหล่งผลิตอยู่ที่ 35 บาท/20 กิโลกรัม และเมื่อออกมาจากหมู่บ้านดินสอพองเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ราคาก็เพิ่มสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 50 บาท/20 กิโลกรัม ในขณะที่ดินสอพองแบบก้อนที่ใช้ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมราคาอยู่ที่ตันละ 1,100 บาท เท่านั้น
เป็นที่น่าเสียดายว่าหากในอนาคตรุ่นลูกรุ่นหลานจะรู้จักดินสอพอง หรือนำดินสอพองมาใช้ประโยชน์ได้ยากเต็มทีเนื่องจากราคาที่สูงมากขึ้น ตามวัตถุดิบที่นับวันจะลดน้อยลง ซึ่งคนไทยยังไม่เห็นถึงคุณค่า ภูมิปัญญาไทย ที่นำดินสอพองมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง รวมถึงตำนานของดินสอพองจังหวัดลพบุรี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของแหล่งดินสอพองที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ที่เล่าขานกันว่า
จากที่กล่าวมาข้างต้น นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้เล็งเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ในการกระจายสินค้าและการสืบทอดภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ให้สูญหายไปจากชาวไทยจึงคิดที่จะจัดทำโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมีหลักการดังนี้