Ads 468x60px

สรุปและเสนอแนะ

ลพบุรี เป็นเมืองที่มีความหลากหลาย และต่อเนื่องของความเจริญทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์   จังหวัดลพบุรีตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 47 องศา 37 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศา 25 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางเหนือตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ประมาณ 155 กิโลเมตร หรือทางรถไฟสายเหนือประมาณ 133 กิโลเมตร มีพื้นที่ 6,586.67 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,116,668 ไร่
ลพบุรี  เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานมีโบราณสถานที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง มีศิลปกรรม วัฒนธรรม และตำนานพื้นเมืองที่น่าศึกษา นอกจากนี้ลพบุรียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่น่าสนใจ หลายอย่าง  อาทิ  แหล่งแร่เหล็กที่เขาทับควาย  เพชรเขาพระงาม  และแหล่งดินขาวที่เกิดขึ้นเอง  โดยธรรมชาติสามารถนำมาทำ  "ดินสอพอง" ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง  แหล่งผลิตดินสอพอง ที่ใหญ่และมีคุณภาพ ดีที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่จังหวัดลพบุรี บริเวณหมู่บ้านหินสองก้อน บ้านท่ากระยาง  และบ้านสะพานอิฐในเขตตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร
ลพบุรีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตดินสอพองที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย แหล่งผลิตอยู่ที่ หมู่บ้านหินสองก้อน (ริมคลองชลประทาน) ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง (บริเวณสะพาน 6) เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน และบริเวณนั้นจะมีดินสีขาว เรียกกันว่า ดินมาร์ล มีเนื้อเนียนขาว ละเอียดแน่น จึงไม่เหมาะแก่การปลูกพืช แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ได้นำมาผลิตเป็นดินสอพอง ซึ่งสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น แป้ง เครื่องสำอาง ยาสีฟัน ตกแต่งผิวเครื่องเรือนเป็นต้น
ดินที่ใช้ทำดินสอพอง  เป็นดินสีขาว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ดินมาร์ล" เป็นดินที่มีสารประกอบหินปูน  ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  แคลเซียมคาร์บอเนต  ผสมอยู่เป็นจำนวนมากและคุณสมบัติของดินชนิดนี้ คือเมื่อถูกกับกรดจะทำปฏิกิริยาให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาดังนั้นเมื่อเราหยดน้ำมะนาวลงบนดินสอพอง   จะทำให้ดินพองตัวขึ้นเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พยายามลอยตัวหนีออกจากเนื้อดินนั่นเองจากคุณสมบัติ ดังกล่าว อาจทำให้เป็นที่มาของชื่อ "ดินสอพอง"  แต่ก็ได้มีผู้สันนิษฐานเกี่ยวกับ ดินสอพองว่า มาจากคำว่า  "ดินสอผ่อง"  แล้วเรียกเพี้ยนมาเป็น   "ดินสอพอง" (ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้นิยามว่า "หมดจด"  ดังนั้น ดินสอพอง คือ ดินสอที่ทาหรือประแล้วทำให้ผิวสะอาดหมดจดนั่นเอง)
ธุรกิจการผลิตดินสอพองเพื่อจำหน่าย ถือเป็นธุรกิจที่อยู่คู่กับจังหวัดลพบุรีมาช้านาน แต่หากคนไทยยังไม่เห็นคุณค่า ช่วยกันอนุรักษ์ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง คงจะช่วยชะลอแร่ธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างดินสอพองนี้ได้ เพื่อให้ลูกหลานได้ใช้สอยประโยชน์ได้อย่างเต็มที่และเหมาะสม มากกว่าการนำมาสร้างความสนุกสนานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กับสมุนไพรไทยที่รอวันสูญสิ้นไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี


ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการปรับปรุงทัศนีย์ภาพแวดล้อมรวมไปถึง
-ควรมีการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อเป็นการจัดระบบการบริหารและคอยดูแลเรื่องการส่งออกผลิตภัณฑ์ รวมถึงด้านราคาที่ไม่ต่ำกว่าทุน
-ดัดแปลงผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
-ควรมีการจัดอบรมและการเผยแพร่การทำดินสอพองให้กับเยาวชนในหมู่บ้านเพื่อที่จะให้เยาวชนเหล่านั้นได้สืบทอดภูมิปัญญาชาวบ้านให้คงอยู่ต่อไป
-ควรมีกระจายสินค้าสู่ชุมชนอื่นหรือการทำเป็นสินค้า OTOP
-การใช้สิ่งอื่นทดแทนในการทำดินสอพองเพื่อไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เหลือน้อยได้หมดลง

การสืบทอด


การสืบทอด
1.             จัดให้มีนิทรรศกาลประจำตำบลหรือหมู่บ้าน เพื่อเผยให้ลูกหลานได้เรียนรู้ถึงตำนานและที่มา กระบวนการผลิต  รู้ถึงคุณประโยชน์
2.             มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาให้กับเยาวชนรุ่นหลังให้รู้จักวิธีการผลิตดินสอพอง
3.             ทางจังหวัดควรมีการส่งเสริมธุรกิจให้มีการแผ่หลายออกไปสู่จังหวัดอื่น

การต่อยอดผลิตภัณฑ์
1.             ต่อยอดผลิตภัณฑ์โดยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่หลากหลายทันสมัยมากขึ้น
2.             การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในด้านการตลาด การโปรโมทสินค้า การนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด
3.             การนำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ไปประยุกต์ดัดแปลงเป็นส่วนผสมให้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น แป้งตลับ
การทำแป้งสำหรับพอกหน้า
การรณรงค์
1.             ปลูกฝังให้มีการใช้สินค้าไทยที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย
2.             การแจกแผ่นพับเพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์
3.             สร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับเยาวชนในหมู่บ้าน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน


การอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน
       ดินสอพอง ถือเป็นสมุนไพรที่อยู่คู่เมืองไทยมาช้านาน ซึ่งจัดอยู่ในสมุนไพรจำพวกแร่ธาตุ หรือเรียกว่าเครื่องยาธาตุวัตถุ แต่ถ้าสืบค้นไปก็จะพบว่าดินสอพองเป็นยาสมุนไพรตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จาก ตำราพระโอสถพระนารายณ์ที่กล่าวถึงดินสอพองไว้ว่า ให้เอาชานอ้อย กำยาน แก่นคูน กรักขีถาก รมหม้อใหม่ใส่น้ำไว้ จึงเอาดินสอพองเผาให้สุก ใส่ลงในหม้อน้ำนั้นให้คนไข้กินเนืองๆ แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ หยุดแลซึ่งถือว่าดินสอพองเป็นยาสมุนไพรที่เก่าแก่ และรักษาโรคให้กับผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันแหล่งผลิตวัตถุดิบของดินสอพองแหล่งใหญ่อยู่ที่ตำบลท่าแค และตำบลท่าตะโก จังหวัดลพบุรี ที่ใต้พื้นดินมีแร่ธาตุที่เรียกว่าดินสอพองอยู่เป็นจำนวนมาก โดยชาวบ้านจะไปรับซื้อดินสอพองมาจากละแวกนั้น แล้วนำมาผลิตที่หมู่บ้านหินสองก้อน (ริมคลองชลประทาน) ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง (บริเวณสะพาน 6) หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของหมู่บ้านดินสอพองซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน เนื่องจากพื้นที่บริเวณไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เนื่องจากมีดินสีขาวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้นำมาแปรรูปเป็นดินสอพองในที่สุด
ซึ่งที่ผ่านมาดินสอพองไม่ได้เป็นเพียงยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว แต่ดินสอพองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทย เช่น อุตสาหกรรมยาสีฟัน, อุตสาหกรรมการผลิตธูป, ตกแต่งเครื่องเรือน, ไข่เค็มดินสอพอง, ทำสีฝุ่น และอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาสิว และโรยแผล ก็ใช้ดินสอพองเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในการรักษาสิว        แต่เมื่อเทศกาลสงกรานต์ ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยได้เวียนมาถึงอีกครา ดินสอพองจำต้องปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นอุปกรณ์ที่สร้างความสนุกสนานให้กับคนไทย รองจากการสาดน้ำสร้างความรื่นเริง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอีกเพียง 5 ปี ดินสอพอง จะเริ่มหมดไปจากประเทศไทย ด้วยแหล่งวัตถุดิบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ รวมทั้งคนไทยไม่เห็นคุณค่า หาทางรักษาไว้ในรุ่นหลาน โดย นายประยูร เลิศปาน เล่าว่า แต่เดิมคนในหมู่บ้านดินสอพอง ยึดอาชีพการผลิตดินสอพองขายกันเป็นเวลานาน ซึ่งรายได้ก็ถือว่าไม่ได้มากมายนัก เพียงสำหรับการเลี้ยงชีพได้เท่านั้น
       ธุรกิจการผลิตดินสอพองในหมู่บ้าน ถือว่าขณะนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ครึกครื้นขึ้นบ้าง เพราะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า มาซื้อดินสอพองแบบเม็ดเพื่อไปจำหน่ายต่อ จากที่ในช่วงอื่น จะผลิตดินสอพองแบบเป็นก้อนเท่านั้น เพื่อขายส่งให้กับภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ถือว่าราคาก็ไม่ได้หวือหวานัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านขณะนี้จะขายตัดราคากันเอง ส่งผลให้มีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ส่งผลให้มีหนี้สิน เมื่อมีลูกค้ามาขอซื้อในราคาถูกจนขาดทุน ก็ต้องจำยอมขาย เพื่อให้มีเงินมาใช้หนี้ ถือว่าขณะนี้ธุรกิจของหมู่บ้านดินสอพองขาดระบบการจัดการที่ดี เน้นการหาตลาดกันเอง โดยขายผ่านพ่อค้าคนกลางเป็นหลัก
       สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการดินสอพองมายาวนาน อย่าง นายประยูร ทำให้รู้ถึงปัญหาของธุรกิจนี้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้นที่เริ่มมองหาอาชีพอื่นที่คาดว่าจะสามารถนำรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ แต่อีกกว่า 100 ครอบครัว ก็เริ่มรู้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจดินสอพองกันเช่นเดียวกัน ที่อาจไม่ใช่อาชีพที่ยั่งยืนอีกต่อไป
สำหรับราคาขายของดินสอพองในขณะนี้ถือว่ามีราคาต่ำมาก จนน่าแปลกใจว่าราคาขายในระดับนี้จะให้ชาวบ้านดำรงชีพ จากรายได้การจำหน่ายดินสอพองได้อย่างไร คือ ดินสอพองแบบเม็ดราคาขายที่แหล่งผลิตอยู่ที่ 35 บาท/20 กิโลกรัม และเมื่อออกมาจากหมู่บ้านดินสอพองเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ราคาก็เพิ่มสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 50 บาท/20 กิโลกรัม ในขณะที่ดินสอพองแบบก้อนที่ใช้ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมราคาอยู่ที่ตันละ 1,100 บาท เท่านั้น
เป็นที่น่าเสียดายว่าหากในอนาคตรุ่นลูกรุ่นหลานจะรู้จักดินสอพอง หรือนำดินสอพองมาใช้ประโยชน์ได้ยากเต็มทีเนื่องจากราคาที่สูงมากขึ้น ตามวัตถุดิบที่นับวันจะลดน้อยลง ซึ่งคนไทยยังไม่เห็นถึงคุณค่า ภูมิปัญญาไทย ที่นำดินสอพองมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง รวมถึงตำนานของดินสอพองจังหวัดลพบุรี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของแหล่งดินสอพองที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ที่เล่าขานกันว่า

จากที่กล่าวมาข้างต้น นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้เล็งเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ในการกระจายสินค้าและการสืบทอดภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ให้สูญหายไปจากชาวไทยจึงคิดที่จะจัดทำโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมีหลักการดังนี้

ข้อควรระวัง


ข้อควรระวัง
        เนื่องจากดินสอพองเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากดินธรรมชาติผสมกับน้ำแล้วนำมาตากแดดกลางแจ้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ และจากการสังเกตุตัวอย่างที่ตรวจวิเคราะห์นั้น ไม่สามารถจะระบุวิธีสังเกตได้ เพียงแต่ผู้บริโภคควรจะต้องมีความระมัดระวังในการใช้ อย่าใช้กับบริเวณที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือเข้าปาก เพราะจะเป็นทางที่เชื้อจุลินทรีย์จะเข้าสู่ร่างกายได้ (สุพจน์ รัตนาพันธ์.2550. หน้า 171)
        ดินสอพองที่มีจุลินทรีย์ปนเปื้อนในปริมาณมากและมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคได้ดังนี้ คือ ถ้าเข้าสู่ร่างกายทางตา สิว บาดแแผลอื่นๆ หรือเข้ากระแสโลหิต อาจมีผลให้เกิดการอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะเชื้อ Pseudomonas aeruginosa   อาจทำให้ตาอักเสบรุนแรงถึงตาบอดได้ สำหรับเชื้อ Escherichia coli, Salmonella  spp. และ Clostridium spp ถ้าเข้าร่างกายทางปากอาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้


ประโยชน์ของดินสอพอง


ประโยชน์ของดินสอพอง
1. ดินสอพองถือเป็นสมุนไพรรสยาเย็น ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกาย ถอนพิษอักเสบ แก้ผด ผื่น และคัน และที่พิเศษคือเป็นยาห้ามเหงื่อ นอกจากไม่ทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะจากอากาศร้อนแล้ว ยังทำให้ร่างกาย เย็นสบาย
2. การใช้ดินสอพองประหน้า สามารถป้องกันแดด ด้วยมีฤทธิ์คล้ายยากันแดดชนิดกายภาพ และนักวิจัย เพิ่งพบว่าเป็นยากันแดดได้ดี
3. มีสรรพคุณช่วยขจัดสิวเสี้ยน ลดอาการปวดบวมจากการอักเสบเขียวช้ำ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรแล้วนำมาขัดผิว ขัดตัว พอกหน้า จะได้ผลดียิ่งขึ้น เหมาะกับผิวมัน เพราะหากใช้กับผิวแห้งจะทำให้ผิวยิ่งแห้งไปกว่าเดิม
                            4. ใช้ขัดผิว คือ ดินสอพองผสมขมิ้นและมะขามเปียก ขัดหน้าขัดผิว ช่วยให้ผิวพรรณสดใสสวยงาม หรือใช้ดินสอพองผสมขมิ้น ลิ้นทะเล และพิมเสน ใช้ลอกฝ้า เป็นต้น
                            5. นำดินสอพองมาผสมกับใบทองพันชั่ง ก็มีสรรพคุณชั้นเยี่ยม ในการรักษากลากเกลื้อนได้เช่นกัน
                            6. ใช้ดินสองพอง ขมิ้นชัน ไพล เหงือกปลาหมอ ผสมรวมกัน ถ้าใช้เต็มสูตรนอกจากได้สีออกเหลืองๆ แล้ว เมื่อนำไปทาตัวไปจะเป็นเหมือนการขัดผิวนั่นเอง

 7. ใช้ทาแก้ผิวหนังแพ้ ลมพิษ และผื่นคัน ให้ผสมดินสอพองกับใบเสลดพังพอนตัวเมีย (พญายอ) สูตรนี้เป็นแป้งน้ำไทยหรือเรียกว่าคาลาไมน์สมุนไพร (จะมีสีเขียว) ถ้าจะเปลี่ยนเป็นสีสันฉูดตาขึ้นบ้าง เหยาะน้ำยาอุทัยใส่ดินสอพอง ละลายน้ำ ก็จะได้แป้งน้ำสีสวยๆ อีกขนานหนึ่งหรืออยากได้สีส้มแสด ก็เอาชาดอกคำฝอยมาชงน้ำร้อน ใช้น้ำมาผสมดินสอพอง หรือต้องการสีน้ำเงินม่วงเด็ดดอกอัญชัน มาขยี้ละลายน้ำถ้าต้องการสีแดง ไปถากเอาเปลือกต้นสะเดาใส่น้ำต้มให้เดือดหรือที่หาง่ายๆก็ใช้ดอกกระเจี๊ยบแดง ต้มน้ำก็ได้สีแดง
                           8. ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษเผ็ดที่โดนพริก ใช้ดินสอพองผสมน้ำทาบริเวณที่ร้อน
                           9. ผสมน้ำมะกรูด หรือน้ำมะนาว ทาแก้หัวโน
 (สุพจน์ รัตนาพันธ์.2550. หน้า169)